สัปดาห์ที่ 5
วัน
จันทร์ ที่ 01 และ วัน พฤหัสบดี ที่ 04 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
วัน จันทร์ ที่ 01 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา
10.30 – 12.30 น.
เนื้อหาการเรียนรู้
ทฤษฎีที่ 1 ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายสำหรับเด็กปฐมวัย
ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายของอาร์โนลด์
และ กีเซลล์
กีเซลล์ กล่าวถึง ทฤษฎีพัฒนาการทางร่างกายว่าการเจริญเติบโตของเด็กจะแสดงออก เป็นพฤติกรรมด้านต่าง
ๆ สำหรับพัฒนาการด้านร่างกายนั้น หมายถึง การที่เด็กแสดงออกในการจัดกระทำ กับวัสดุ
เช่น การเล่นลูกบอล การขีดเขียน
เด็กต้องใช้ความสามารถของการใช้สายตาและกล้ามเนื้อมือ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโต
ของระบบประสาทและการเคลื่อนไหวประกอบกัน ลักษณะพัฒนาการที่สำคัญของเด็กในระยะนี้
ก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเคลื่อนไหวการทำงาน ของระบบประสาทกล้ามเนื้อ
การพัฒนาความสามารถในการควบคุมร่างกาย การบังคับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
กีเซลล์ได้แบ่งพัฒนาการเด็กออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1.พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว
เป็นความสามารถของร่างกาย ที่ครอบคลุมถึงการบังคับอวัยวะต่างๆ
ของร่างกายและความสัมพันธ์ทางด้านการเคลื่อนไหวทั้งหมด
2.พฤติกรรมด้านการปรับตัว
เป็นความสามารถในการประสานงานระหว่าง ระบบการเคลื่อนไหวและระบบความรู้สึก เช่น
การประสานงานระหว่างตากับมือ
3.พฤติกรรมทางด้านภาษา
จะเป็นการแสดงออกทางหน้าตาและท่าทางการเคลื่อนไหว
4.พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม
เป็นความสามารถในการปรับตัวของเด็ก ระหว่างบุคคลกับบุคคล และบุคคลภายใต้ภาวะ
แวดล้อมและสภาพความเป็นจริง
ทฤษฏีการเรียนรู้ของบรูเนอร์
บรูเนอร์ เชื่อว่าพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการ ภายในอินทรีย์เน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม
และวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็ก
ซึ่งจะพัฒนาได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก
บรูเนอร์เน้นหลักการ กระบวนการคิด
ประกอบด้วยลักษณะ 4 ข้อ คือ
1.แรงจูงใจ
2.โครงสร้าง
3.ลำดับขั้นการต่อเนื่อง
4.การเสริมแรง
บรูเนอร์แบ่งขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของมนุษย์
ออกเป็น 3
ขั้น คือ
1.ขั้นการกระทำ
เด็กเรียนรู้จากการกระทำและการสัมผัส
2.ขั้นคิดจิตนาการหรือสร้างมโนภาพ
เด็กเกิดความคิดจากการรับรู้ตามความเป็นจริง และการคิดจากจิตนาการ
3.ขั้นใช้สัญลักษณ์และคิดรวบยอด
เด็กเริ่มเข้าใจการเรียนรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
และพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็น
ทฤษฎีที่ 2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นได
เน้นการเรียนรู้ที่สำคัญด้วยกฎ 3 ประการ
1.กฎแห่งความพร้อม
การเรียนรู้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีความพร้อมทั้งทางกายและทางใจเกี่ยวกับร่างกาย
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม
การใช้กล้ามเนื้อและระบบประสาทให้สัมพันธ์เพื่อเป็นการฝึกทักษะเกี่ยวกับจิตใจ เป็นความพร้อมทางด้านสมองและสติปัญญา
2.กฎแห่งการฝึกหัด
เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำซ้ำๆ กันหลายๆครั้ง เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและจังหวะ
เด็กจะเกิดทักษะในแบบต่างๆซึ่งทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำงานสัมพันธ์กันดี
3.กฎแห่งผล
เด็กจะเรียนรู้ได้ดีถ้าผลของการกระทำนั้นเป็นไปในทางบวกหรือทางที่ดี
ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความสนใจ เกิดทักษะ ทำให้เด็กมีความสนุกสนานและพอใจ
ทฤษฎีของเพียเจต์
เพียเจต์ถือว่าการให้เด็กได้สัมผัสวัสดุต่าง
ๆ จะส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ โดยเฉพาะกับเด็กปฐมวัยซึ่งอาศัยการเรียนรู้
เป็นสื่อการกระตุ้นของเด็ก จำเป็นต้องให้เด็กได้มีโอกาสการเคลื่อนไหวและสัมผัสต่างๆ
ทฤษฎีที่ 3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ของกิลฟอร์ด
กิลฟอร์ด
กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองที่คิดได้อย่างซับซ้อน
กว้างไกลหลายทิศทาง หรือที่เรียกว่า คิดอเนกอนัย ซึ่งประกอบด้วย ความคิดริเริ่ม
ความคิดคล่องแคล่ว ความคิดยืดหยุ่น ความคิดละเอียดละออ
กิลฟอร์ดได้ให้รายละเอียดขององค์ประกอบของความคิดสร้าง
ไว้ดังนี้
1.ความคิดริเริ่ม หมายถึง ความคิดแปลกใหม่ไม่ซ้ำกัน กับความคิดของคนอื่น
และแตกต่างจากความคิดธรรมดา
ความคิดริเริ่มอาจเกิดจากความคิดจากเดิมที่มีอยู่แล้วให้แปลกแตกต่างจากที่เคยเห็นหรือสามารถพลิกแพลงให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด
ความคิดริเริ่มอาจเป็นการนำเอาความคิดเก่ามาปรุงแต่งผสมผสานจนเกิดเป็นของใหม่
2.ความคิดคล่องแคล่ว หมายถึง ปริมาณความคิดที่ไม่ซ้ำกันในเรื่องเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็น 4
ประเภท ดังนี้
2.1 ความคิดคล่องแคล่วทางด้านถ้อยคำเป็นความสามารถในการใช้ถ้อยคำอย่างคล่องแคล่ว
2.2 ความคิดคล่องแคล่วทางด้านการโยงสัมพันธ์เป็นความสามารถที่จะคิดหาถ้อยคำที่เหมือนกันได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายในเวลาที่กำหนด
2.2 ความคล่องแคล่วทางด้านการแสดงออก เป็นความสามารถในการใช้วลีหรือประโยชน์กล่าว
คือ สามารถที่จะนำคำมาเรียงกันอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ต้องการ
2.3 ความคล่องแคล่วในการคิด
เป็นความสามารถที่จะคิดค้นสิ่งที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนด
3.ความคิดยืดหยุ่น หมายถึง ประเภทหรือแบบของการคิดแบ่งออกเป็น
3.1 ความคิดยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นทันที
เป็นความสามารถที่จะพยายามคิดได้หลายทางอย่างอิสระ
ตัวอย่างของคนที่มีความคิดยืดหยุ่นในด้านนี้จะคิดได้ว่าประโยชน์ของหนังสือพิมพ์มีอะไรบ้าง
ความคิดของผู้ที่ยืดหยุ่นสามารถจัดกลุ่มได้หลายทิศทางหรือหลายด้าน เช่น
เพื่อรู้ข่าวสาร เพื่อโฆษณาสินค้า เพื่อธุรกิจ ฯลฯ
ในขณะที่คนมีความคิดสร้างสรรค์จะทำได้ทิศทางเดียว คือ เพื่อรู้ข่าวสาร เท่านั้น
3.2 ความยืดหยุ่นทางด้านการดัดแปลงหมายถึง
ความสามารถในการดัดแปลงความรู้หรือประสบการณ์ให้เกิดประโยชน์หลายๆ ด้าน
4.ความคิดละเอียดละออ หมายถึง
ความคิดในรายละเอียดเป็ฯขั้นตอน สามารถอธิบายให้เห็นภาพชัดเจน หรือเป็นแผนงานที่สมบูรณ์ขึ้น
ความคิดละเอียดละออจัดเป็นรายละเอียดที่นำมาตกแต่งขยายความคิดครั้งแรกให้สมบูรณ์ขึ้น
ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
อี พอล ทอร์แรนซ์ นิยามความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็นกระบวนการของความรู้สึกไวต่อปัญหา
หรือสิ่งบกพร่องขาดหายไปแล้ว รวบรวมความคิดตั้งเป็นสมมติฐานขึ้น
ต่อจากนั้นก็ทำการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อทดสอบสมมติฐานนั้น
ทอร์แรนซ์ มีกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้
1.การพบความจริง
2.การค้นพบปัญหา
3.การตั้งสมมติฐาน
4.การแก้ปัญหา
5.ยอมรับผลจากการค้นพบ
ขั้นตอนของความคิดสร้างสรรค์แบ่งออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้
1.เริ่มคิด
2.ขั้นขรุ่นคิด
3.ขั้นเกิดความคิด
4.ขั้นปรับปรุง
ทฤษฎีที่ 4 ทฤษฎีด้านสังคม
ทฤษฎีของอิริคสัน
อิริคสันได้แบ่งพัฒนาการของบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น ดังนี้
1.ขั้นความไว้วางใจ-ความไม่ไว้วางใจ ซึ่งเป็นขั้นวัยทารก
อิริคสันถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในวัยต่อไป
2.ขั้นความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ-ความสงสัยไม่แน่ใจในตนเอง
อยู่ในช่วงอายุ 2-3 ปี วันนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินได้
สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตขอร่างกาย ช่วยให้เด็กมีความอิสระพึ่งตนเอง
และมีความอยากรู้อยากเห็น
3.ขั้นการเป็นผู้คิดริเริ่ม-การรู้สึกผิด
วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี
อิริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความคิดริเริ่มอยากทำอะไรด้วยตนเอง
การเล่นสำคัญมากสำหรับเด็กวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ
(3 ขั้นนี้เป็นขั้นพัฒนาการสำหรับเด็กปฐมวัย)
ทฤษฎีของอัลเบิร์ต แบนดูร่า
การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงเกิดขึ้นได้
ซึ่งกระบวนการต่างๆ ของการเลียนแบบของเด็ก ประกอบด้วย 4 ประการ
ดังนี้
1.กระบวนการดึงดูดความสนใจ
กิจกรรมการเรียนรู้ที่เด็กสังเกตตัวแบบ และตัวแบบนั้นดึงดูดความสนใจ ที่จะเลียนแบบ
ควรเป็นกิจกรรมง่ายๆไม่สลับซับซ้อน
2.กระบวนการคงไว้
คือกระบวนการบันทึกรหัสเป็นความทรงจำ การที่เด็กจะต้องมีความแม่นยำ
ในการบันทึกสิ่งที่ได้ยินเก็บเป็นความทรงจำ
3.กระบวนการแสดงออก
คือการแสดงผลเรียนรู้ด้วยการกระทำคือ
การที่เด็กเกิดผลสำเร็จในการเรียนรู้จากตัวรูปแบบต่างๆ
4.กระบวนการจูงใจ
คือกระบวนการเสริมแรงให้กับเด็กเพื่อแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบที่จะมาจากบุคคลที่ไม่มีชื่อเสียง
การนำไปประยุกต์ใช้
นำความรู้ของนักทฤษฎีแต่ละท่านมาปรับใช้ในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับเด็ก เพื่อช่วยให้ส่งเสริมพัฒนาการของตัวเด็ก
การประเมิน
ประเมินตนเอง
ตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนองาน
ประเมินเพื่อน
มีความตั้งใจในการนำเสนองานเป็นอย่างดีอย่างดี
ประเมินคุณครู
คุณครูมีการเตรียมความพร้อมในเนื้อหาการสอนได้เป็นอย่าง
วัน พฤหัสบดี ที่ 04 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 11.30 – 14.30
น.
เนื้อหาการเรียนรู้
ปั๊มการเข้าเรียน |
เตรียมทำการบริหารสมองก่อนเข้าสู่การทำกิจกรรม |
หลังจากบริหารสมองกันเสร็จ ครูให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม
เป็น 4
กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน
จากนั่นให้คิดท่าเคลื่อนไหวประกอบจังหวะให้เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย
โดยในกลุ่มจะต้องออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียนทุกคน คนละ 2 ท่า 5
คนก็รวมเป็น 10 ท่าต่อกลุ่ม
เมื่อออกไปนำเสนอท่าออกกำลังกายครบหมดทุกกลุ่มแล้ว ต่อไปคุณครูให้แต่ละคนคิดท่าของตนเองไว้
3 ท่า
แล้วออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน ทีละคน โดยสมมติให้เพื่อนเป็นเด็กๆแล้วเราเป็นครู
เราต้องออกมาอธิบายเป็นขั้นตอนให้เด็กเข้าใจและสามารถทำตามคำสั่งได้
ในขณะที่พูดอธิบายทำกิจกรรมอยู่นั้นจำเป็นมากที่จะต้องยิ้มอยู่เสมอ
และอีกอย่างนึ่งที่สำคัญคือเด็กเล็กจะยังไม่รู้จักซ้ายขวาดีนัก
ถ้าเราอยู่หน้าเด็กหันหน้าไปทางเด็กให้นึกว่าเราเป็นกระจกให้กับเขา
ถ้าหากเรายกแขนซ้าย
เราก็บอกว่าแขนขวาเพราะเป็นแขนขวาของเด็กหากหันไปทางเด็กเราอ่านจะงงๆในช่วงแรก แต่ปัญหานี้จะหมดไปในช่วงเด็กโตขึ้นเขาจะรู้จักซ้ายขวาและฝั่งตรงข้ามผู้เป็นกระจกแล้วจึงไม่ต้องพูดสลับกันให้งง
แต่เด็กเล็กนั้นสำคัญมาที่จะต้องทำแบบนี้ (ใช้ในกรณีที่เรายืนหันหน้าไปทางเด็ก)
การนำไปประยุกต์ใช้
-ได้รับความรู้เรื่องการจัดประสบการณ์การเคลื่อนไหวที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัยเพื่อนำไปใช้ให้เหมาะสม
-มีความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบท่าทางที่ไม่ซ้ำ
-สิ่งที่ควรรู้จากกาสรเป็นครูปฐมวัย
นำไปใช้ในการสอน
-คำนึงถึงเด็กเล็กเวลาบอก ซ้าย ขวา
รู้วิธีจัดการปัญหาให้ง่ายต่อการสอนให้เด็กเข้าใจ
-มีเทคนิควิธีการที่แปลกใหม่ ในการสอน
การประเมิน
ประเมินตนเอง
มีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย
อยู่ร่วมและทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆได้ดี ตั้งใจทำกิจกรรม ร่าเริง สนุกสนาน
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆให้ความร่วมมือในทำกิจกรรมดี
และสร้างบรรยากาศในห้องเรียนน่าเรียนมากขึ้น สนุกกับการเรียน
ประเมินคุณครู
คุณครูเตรียมความพร้อมในการจัดกิจกรรมอย่างเสมอ
เป็นผู้นำที่ดี เป็นกันเอง
ทำให้นักศึกษามีความสนใจในการเรียนและสร้างบรรยากาศในการเรียนได้สนุกและมีความสุขกับสิ่งที่เรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น